วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

เจาะตำนาน "พระราหู" นับเป็นองค์"พระโพธิสัตว์ในแดนอสูร" ได้รับการพยากรณ์ ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต!!!



พระราหูในพระพุทธศาสนา บุพกรรมของพระราหู

ในวรรณคดีทางพระพุทธศาสนาได้เล่าเรื่องพระราหู พระอาทิตย์และพระจันทร์ เกี่ยวกับบุพพกรรมที่ทั้งสามได้เคยสร้างร่วมกันมา จนเป็นเหตุให้เกิดเรื่องราวแห่งพระราหู พระอาทิตย์และพระจันทร์มาจนทุกวันนี้ เล่าครั้งหนึ่งว่าทั้งสามคือ พระอาทิตย์ พระจันทร์และพระราหูเกิดเป็นพี่น้องกันมีพระอาทิตย์เป็นพี่คนโต พระจันทร์เป็นคนรองพระราหูเป็นน้องเล็ก พระอาทิตย์และพระจันทร์นั้นนิสัยดีชอบทำบุญใส่บาตร เลือกเอาของดีถวายพระภิกษุสงฆ์เสมอๆ แต่พระราหูนั้นนิสัยออกเกเร เป็นนักเลง เจ้าโทสะ ไม่ค่อยประดิษฐ์ประดอยเหมือนพี่ๆเขา ครั้งหนึ่งพระอาทิตย์ชวนน้องทั้งสองใส่บาตร พระอาทิตย์เลือกใช้ขันทอง พระจันทร์เลือกใช้ขันเงิน แต่พระราหูนั้นเลือกเอากะลาเป็นขันใส่ข้าว รวมทั้งทัพพีตักข้าวด้วย

ด้วยกรรมดังนี้พระอาทิตย์ตั้งจิตอธิษฐานให้ตนเองเกิดเป็นสุริยเทพผู้มีรัศมีสองแสงเป็นสีทองส่องสว่างแก่มนุษย์ยามกลางวัน พระจันทร์ตั้งจิตขอไปเกิดเป็นจันทราเทพผู้มีรัศมีเย็นตา ให้ความสว่างแก่มนุษย์ยามกลางคืน ส่วนพระราหูนั้นต้องการมีเดชอำนาจเหนือพี่ทั้งสองด้วยอำนาจจิตดังกล่าวเมื่อสิ้นใจไปแล้วทำให้เกิดเป็นเทพอสูรนามว่า พระราหู มีร่างกายดำทะมึนมีอำนาจสามารถดับความสว่างของพระอาทิตย์และพระจันทร์ได้ เมื่อใดที่พระราหูเจอพระอาทิตย์พระจันทร์เป็นต้องเข้าไปอมบ้าง ไปหนีบไว้ที่รักแร้บ้าง ซ่อนไว้ใต้คางบ้างเป็นเช่นนี้เสมอไป และลักษณะการบดบังพระอาทิตย์และพระจันทร์ดังกล่าวนี้ ครูบาอาจารย์ชั้นต่อๆมาจึงนำมาวาดเป็นยันต์พระราหู หรือมาแกะลายพระราหูบังพระอาทิตย์ แต่ส่วนมากมักเลือกเอากิริยาที่พระราหูอมพระอาทิตย์พระจันทร์มากที่สุด



พระพุทธรูปปางโปรดอสุรินทรราหู


มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น พระราหูได้เคยเข้าจับพระอาทิตย์ บังเกิดเป็นสุริยคราส ครั้งนั้นเทพยดาทั้งหลายทูลขอให้พระพุทธองค์เข้าช่วยด้วยเป็นที่พึ่ง พระพุทธองค์ทรงกล่าวพระพุทธคาถาแก่พระราหู เมื่อพระราหูได้ฟังแล้วบังเกิดขนพองสยองเกล้ารีบคายพระอาทิตย์ออก เพราะศีรษะของตนดั่งว่าจะระเบิดออกมาเป็นเจ็ดเสี่ยง รีบกลับเข้าเมืองอสูรทันใด ไปเล่าให้เพื่อนอสูรของตนฟังว่า พระพุทธเจ้านี้มีฤทธิ์มากนักไม่อาจต้านทานฤทธานุภาพพระพุทธองค์ได้ ตามที่ปรากฎในพระไตรปิฎก ดังนี้

สุริยสูตรที่ ๑๐
[๒๔๖] ก็โดยสมัยนั้น สุริยเทวบุตร ถูกอสุรินทราหูเข้าจับแล้ว ครั้ง
นั้น สุริยเทวบุตร ระลึกถึงพระผู้มีพระภาค ได้กล่าวคาถานี้ในเวลานั้นว่า
ข้าแต่พระพุทธเจ้า ผู้แกล้วกล้า ขอความนอบน้อมจงมีแด่
พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้วในธรรมทั้งปวง ข้า-
พระองค์ถึงเฉพาะแล้วซึ่งฐานะอันคับขัน ขอพระองค์จงเป็น
ที่พึ่งแห่งข้าพระองค์นั้น ฯ
[๒๔๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงปรารภสุริยเทวบุตรได้ตรัสกะ-
*อสุรินทราหูด้วยพระคาถาว่า
สุริยเทวบุตร ถึงตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ ว่าเป็นที่พึง ดูกร
ราหู ท่านจงปล่อยสุริยะ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้
อนุเคราะห์แก่โลก สุริยะใดเป็นผู้ส่องแสง กระทำความสว่าง
ในที่มืดมิด มีสัณฐานเป็นวงกลม มีเดชสูง ดูกรราหู ท่าน
อย่ากลืนกินสุริยะนั้น ผู้เที่ยวไปในอากาศ ดูกรราหู ท่าน
จงปล่อยสุริยะ ผู้เป็นบุตรของเรา ฯ
[๒๔๘] ลำดับนั้น อสุรินทราหู ปล่อยสุริยเทวบุตรแล้ว มีรูปอัน
กระหืดกระหอบ เข้าไปหาอสุรินทเวปจิตติถึงที่อยู่ ครั้นแล้วก็เป็นผู้เศร้าสลด เกิด
ขนพอง ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ
[๒๔๙] อสุรินทเวปจิตติ ได้กล่าวกะอสุรินทราหู ผู้ยืนอยู่ ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง ด้วยคาถาว่า
ดูกรราหู ทำไมหนอ ท่านจึงกระหืดกระหอบ ปล่อยพระ-
สุริยะเสีย ทำไมหนอ ท่านจึงมีรูปเศร้าสลด มายืนกลัวอยู่ ฯ
[๒๕๐] อสุรินทราหู กล่าวว่า
ข้าพเจ้าถูกขับด้วยคาถาของพระพุทธเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่พึง
ปล่อยพระสุริยะ ศีรษะของข้าพเจ้าพึงแตกเจ็ดเสี่ยง มีชีวิต
อยู่ ก็ไม่พึงได้รับความสุข ฯ
จบ วรรคที่ ๑

ครั้นใกล้เวลาที่อสุรินทราหูเข้าเฝ้า พระผู้มีพระภาคก็เสด็จบรรทมในพระแท่นที่ประทับ ทรงทำปาฏิหาริย์นิรมิตพระกายให้ใหญ่กว่าอสุรินทราหูหลายเท่า พระรูปนี้จะปรากฏเฉพาะแต่อสุรินทราหูเห็นผู้เดียวเท่านั้น ครั้นอสุรินทราหูเข้าไปเฝ้า เห็นเข้าก็อัศจรรย์ใจมาก แม้แต่เพียงพระบาททั้ง ๒ ข้างที่ซ้อนกันอยู่ ก็ยังสูงและใหญ่กว่าอสุรินทราหูเสียอีก เมื่ออสุรินทราหูเข้าใกล้ได้ถวายอภิวาท แทนที่จะต้องก้มลงดูพระพุทธเจ้าดังที่คิดแต่แรกมากลับต้องแหงนหน้าชมพระพุทธลักษณะอันงดงาม ตั้งแต่พื้นพระบาทจนถึงพระพักตร์ ปรากฏว่าเป็นที่พอใจได้ความปลาบปลื้มที่ได้ชมพระรูปพระโฉมของพระพุทธเจ้าทั้งใหญ่ทั้งงามสมส่วนทุกประการ ก็กราบทูลสรรเสริญ



ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงรับสั่งปฏิสันถารให้ความชื่นบานแก่อสุรินทราหูยิ่งขึ้น แล้วตรัสว่า อสุรินทราหู! บุคคลทั้งหลายเมื่อได้ทราบข่าวเล่าลือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใด ๆ หากยังไม่ได้เห็น, ยังไม่พิจารณาให้ถ่องแท้แก่ใจตนแล้ว ไม่พึงติชมก่อน อสุรินทราหู, ท่านคงเข้าใจว่า ท่านมีร่างกายใหญ่กว่าเทพยดาและอสูรทั้งหลาย จริงอยู่บรรดาพวกอสูรทั้งหลายในอสูรพิภพนั้นมีร่างกายเล็กกว่าท่าน แต่ท่านคิดหรือเปล่าว่าในที่อื่นอาจมีผู้ที่มีร่างกายใหญ่กว่าท่าน เหมือนปลาใหญ่ในหนองคลองบึง มันอาจคิดว่าตัวมันโตกว่าปลาทั้งหลาย ไม่มีปลาตัวใดจะเสมอได้ เพราะมันยังไม่ได้ไปเห็นปลาในมหาสมุทร อสุรินทราหู! แม้ท่านเองก็ยังมีความรู้สึกเช่นนั้น

อสุรินทราหู, บรรดาพรหมทั้งหลายในพรหมโลกชั้นบนทั้งหมดล้วนมีร่างกายใหญ่กว่าท่าน ถ้าท่านมีความปรารถนาจะได้ดู, ได้ชม, พรหมเหล่านั้น ตถาคตรับรองว่าจะพาท่านไปดู ไปชมได้แม้ในขณะนี้ ครั้นอสุรินทราหูทูลขอประทานพระกรุณาให้พาไปชมพรหมทั้งหลายในพรหมโลก พระผู้มีพระภาคได้ทรงทำปาฏิหาริย์พาอสุรินทราหูไปยังพรหมโลกในทันใดนั้น

เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จขึ้นปรากฏพระกายในพรหมโลก บรรดามหาพรหมทั้งหลาย ก็พากันมาเฝ้าเป็นอันมาก บรรดามหาพรหมที่พากันมาเฝ้าเหล่านั้น ล้วนมีร่างกายใหญ่กว่าอสุรินทราหูตั้งร้อยเท่าพันเท่า แต่พระผู้มีพระภาคกลับมีพระกายปรากฏว่าใหญ่กว่ามหาพรหมเหล่านั้นทั้งหมด ส่วนอสุรินทราหูคงมีร่างกายเท่าเดิม มีความหวาดกลัวตัวสั่นเทา หลบอยู่เบื้องหลังพระผู้มีพระภาค ปรากฏเหมือนแมงมุมเกาะอยู่ที่ชายจีวรพระผู้มีพระภาคฉะนั้น


ท้าวมหาพรหมได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ได้ทรงพระกรุณาพาเอาตัวอะไรขึ้นมาด้วยพระเจ้าข้า, พระศาสดาตรัสตอบว่า ผู้นี้คืออสุรินทราหู, เขาถือตัวว่าตัวมีร่างกายใหญ่ อยากจะเห็นผู้มีร่างกายใหญ่กว่า โดยคิดว่าในสกลโลกนี้ยังจะมีผู้ที่มีร่างกายใหญ่เท่าเขาอยู่บ้างหรือ ตถาคตจึงพาขึ้นมา ให้อสุรินทราหูได้เห็นประจักษ์ด้วยนัยน์ตาตนเอง

ท้าวมหาพรหมได้กราบทูล เป็นอย่างนั้นแหละพระเจ้าข้า, วิสัยคนที่มานะอันกระด้าง ย่อมถือตัวยกตนข่อผู้อื่น เหมือนคนทุคคตะเข็ญใจได้ทรัพย์เพียงบาทหนึ่ง ก็ถือตัวว่าเป็นคนมีทรัพย์ หรือเหมือนคนพาลมีความรู้น้อยก็ทนงตนว่าเป็นปราชญ์

ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ในพรหมโลกพอสมควรแก่เวลาแล้ว ก็ตรัสอำลาท้าวมหาพรหม พาอสุรินทราหูกลับลงมายังพระเชตวันวิหาร ทรงทรมานให้อสุรินทราหูลดมานะทิฏฐิอันกระด้างลงได้ กลับมีใจเลื่อมใสในพระศาสดา ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นสรณะ แล้วกราบทูลลากลับไปยังพิภพของตน.

ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ยังได้กล่าวถึงบุพกรรมแต่หนหลังของพระราหูว่า เคยตั้งปณิธานไว้ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งการบำเพ็ญบารมีของพระราหูทุกภพชาติที่ผ่านมานั้นก็เพื่อพระโพธิญาณนี้และจะสำเร็จแน่นอนในอนาคตกาล พระราหูจะสำเร็จเป็นพระโพธิญาณ หรือ บรรลุเป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้พระราหูปลาบปลื้ม พระราหูมีความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ยิ่งๆขึ้น และตั้งใจบำเพ็ญเพียรทางพระโพธิญาณให้มากยิ่งๆขึ้น ทั้งพระไตรปิฎกล่าวว่า พระราหูจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านามว่า พระนารทพุทธเจ้า นับเป็นองค์ที่ห้าถัดจากพระศรีอารยเมตไตรพุทธเจ้า จากคติดังกล่าวนี้จึงถือว่าพระราหูนั้นมีฐานะเป็นพระโพธิสัตว์ และเป็นหน่อเนื้อพระพุทธางกูรแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่น่าเคารพกราบไหว้ของชาวพุทธเรา การกราบไหว้พระโพธิสัตว์นันเป็นคตินิยมอยู่แล้วของมหายาน แต่ฝ่ายหินยานหรือในบ้านเรานั่นรู้จัดเรื่องพระโพธิสัตว์น้อย พระโพธิสัตว์นั้นบางครั้งมีรูปกายสวยงาม บางครั้งในรูปกายน่ากลัว และสามารถบังเกิดในภพภูมิใดก็ได้ อย่างพระราหูเป็นพระโพธิสัตว์ที่รูปกายน่ากลัว และเป็นพระโพธิสัตว์ที่เกิดขึ้นในแดนอสูร ทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนา ให้พรคนดี ย่ำยีคนชั่ว บำเพ็ญบารมีสร้างภพชาติเพื่อสืบพระพุทธวงศ์มิให้สิ้นสูญ โปรดสรรพสัตว์ให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นมหาบารมีมหาปณิธานอันยิ่งใหญ่ สมควรที่จะได้รับการกราบไหว้บูชาเช่นเทพยเจ้าองค์อื่นๆ

นอกจานนี้หลายท่านคงไม่เคยทราบว่าคำกล่าวขึ้นต้นก่อนสวดมนต์บทใดๆ ก็ตาม คือ นะโมตัสสะ นั้นเป็นคำกล่าวนอบน้อมพระพุทธเจ้าที่เทพยดาหลายพระองค์ร่วมกันแต่งขึ้น จนกลายเป็นประโยค “นะโม ตัสสะ” ที่เราสวดกัน ในบทดังกล่าวพระราหูเป็นบุคคลสำคัญที่ร่วมรจนาบทคาถา “นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหัตโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” โดย คำว่า


“นะโม” ผู้กล่าวคือ พญายักษ์สันตาคีรี


“ตัสสะ” ผู้กล่าวคือ องค์สุรินราหู

“ภะคะวะโต” ผู้กล่าวคือ ท้าวมหาราชทั้งสี่ ได้แก่ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรุฬปักษ์ และท้าวเวสสุวัณ


“อะระหัตโต” ผู้กล่าวคือ พระอินทร์ เป็นคำนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

“สัมมาสัมพุทธะสะ” ผู้กล่าวคือ ท้าวมหาพรหมสหัมปติ



ทั้งหมดนี้ทวยเทพทั้งหลายทั้งหลายทั้งยักษ์ และเทวดาต่างกล่าวนอบน้อมพระพุทธองค์ในวันแรกที่ตรัสรู้ได้อนุตรธรรมคือพระนิพพนานธรรม ดังจะเห็นได้ว่าในบรรดาผู้กล่าวคำกล่าวนอบน้อมนั้นมีอสุรินทร์ราหูร่วมด้วย นอกจากนี้ยังมีพญายักษ์ ที่ชื่อสาตาคิรีอีกหนึ่ง และท้าวเวสสุวัณผู้เป็นจอมยักษ์อีกหนึ่ง ซึ่งท่านเหล่านี้ล้วทรงบุญญาธิการทั้งสิ้น ครูบาอาจารย์ ของผู้เขียนกล่าวผู้ที่ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยดีแล้ว และเคารพในคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีเทพเทวดาทั้งหลายเป็นอาทิหากทำการท่องคำว่า “นะโมตัสสะ” ด้วยความเคารพศรัทธาก็สวามารถกันภูตผีปีศาจได้ เพราะเป็นคำกล่าวของพระราหู มีบารมีธรรมแห่งพระรากูอยู่ ภูติผีปีศาจทั้งหลายย่อมเกรงกลัวพระราหูฉันใดผู้ทีมีความเคารพพระราหูย่อมได้บารมีข้อนี้ตามไปด้วย นอกจากนี้นะโมที่เราสวดนั้นยังมีเทพเทวาอีกหลายพระองค์จึงเป็นคำกล่าวที่ศักดิ์สิทธิ์มาก การท่องทุกครั้งหากได้ระลึกถึงเทพเทวาทั้งหลายนี้แล้วย่อมเป็นสิริมงคลสูงสุด


พระโพธิสัตว์ราหูเทพอสุรินทร์

ในบรรดาเทพนพเคราะห์ทั้ง 9 องค์นั้นมีเพียงพระราหูพระองค์เดียวเท่านั้นที่เป็นพระโพธิสัตว์และได้รับรับการพยากรณ์แล้ว แม้พระอาทิตย์และพระจันทร์ผู้มีบุญญาธิการอันสูงส่ง ก็มิได้เป็นพระบรมโพธิสัตว์ เช่น พระราหูและยังไปปรากฏเป็นคำพุทธพยากรณ์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นจะมีเพียงอสูรเทพพระราหูเท่านั้นที่มีฐานะเป็นพระโพธิสัตว์และได้รับพุทธพยากรณ์จากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างแน่นอน พระบารมีแห่งเทพอสุรินทร์ราหูจึงมีอยู่มากมายมหาศาลบุคคลผู้ที่จะได้รับพุทธพยากรณ์เช่นพระราหูนั้น ถือว่าได้บำเพ็ญบารมีเข้าสู่เส้นชัยแล้ว หมายความว่า บารมีที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลเบื้องหน้านั้นสำเร็จอย่างแน่นอน แสดงว่าบุญบารมีของพระราหูสามารถโปรดผู้ตกทุกข์ได้ยากให้ได้ดีมีสุข พ้นทุกข์พ้นภัย ด้วยอาศัยบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ญาณที่พระราหูได้บำเพ็ญเพียรมานับชาติไม่ถ้วน

การนับถือจึงมิได้หมายความว่าเรากำลังบูชาภูตผีปีศาจแต่อย่างใด แต่เรากำลังบูชาพระโพธิสัตว์ในรูปกายแห่งเทพอสูร อันเป็นคติสอนให้พิจารณาว่า อย่ามองที่รูปกายภายนอก แม้ว่ารูปกายแห่งพระราหูจะดูดุดันน่ากลัว แต่คุณธรรมภายในนั้นกลับตรงข้าม พระราหูเป็นเทพอสูรที่บำเพ็ญบารมีเพื่อบรรลุพระโพธิญาณมานับชาติไม่ถ้วน ภายในจิตใจนั้นมีแต่ความปรารถนาดีต่อมวลมนุษย์ สิ่งเลวร้ายในชีวิตมนุษย์นั้นไซร์ย่อมเกิดจากผลกรรมเก่าและใหม่ที่ตนก่อไว้ เมื่อถึงเวลา กรรมนั้นย่อมเป็นไปตามกลไกของมัน พระราหูเทพอสุรินทร์เป็นเทพยเจ้าผู้เป็นพยานแห่งการกระทำกรรมของมนุษย์ หาได้ให้ร้ายต่อใครไม่

ที่มา : สำนักข่าวทีนิวส์




ในช่วงชีวิตของคนนั้น ในห้วงแห่งความทุกข์แสนสาหัสที่กรรมฝ่ายไม่ดีกำลังส่งผล ที่เขาเรียกว่า “คนดวงตก” ที่มีหลายกรรมฝ่ายไม่ดีที่เคยทำเข้ามาส่งผลในชีวิตพร้อมๆ กัน

ดวงตกที่ว่ามาจากความเชื่อในเรื่องของโหราศาสตร์ ทางโหรนั้นเรียกคนที่กำลังมีเรื่องราวไม่ดีที่ดึงให้ตกต่ำ ทำอะไรมักติดขัดหรือไม่สำเร็จ ประเภทจับอะไรเป็นเจ๊ง จับอะไรเป็นเรื่องทุกทีเขาว่า ดวงตกหรือดวงชะตาอ่อน

หรือที่เรียกกันติดปากว่า “พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก” เพราะชีวิตในช่วงนั้นมันวุ่นวายอลหม่านพอสมควรไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องเงิน เรื่องงาน หลายคน บางช่วงของชีวิต ปัญหางาน ปัญหาการเงิน ปัญหาชีวิต ปัญหาเพื่อน ก็ถั่งโถมเข้ามามากเหลือเกิน จนบางคนแทบทนไม่ไหว

เหตุที่ดวงตก

สาเหตุหลักนั้นมาจาก 2 เรื่อง ของมาจากรรมเก่าในอดีตและกรรมใหม่ที่ทำในชาตินี้ เป็นกรรมฝ่ายไม่ดี ที่มารวมกันในเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันจนทำให้ทุกอย่างติดขัดไปหมดเสียทุกเรื่อง และโดยเฉพาะเรื่องของกรรมเก่าในอดีตนั้น เราไม่มีทางทราบว่าเป็นกรรมอะไรบ้าง แต่ถึงไม่รู้ทั้งหมดแต่ก็พอจะศึกษาด้วยกฎแห่งกรรมได้ เพื่อเป็นแนวทางไม่ให้ทำกรรมแบบนั้นขึ้นมาอีกในชาตินี้ เพราะกรรมเก่าจากอดีตบางกรรม กำลังส่งผลในปัจจุบัน กรรมในปัจจุบันบางกรรมก็รอที่จะส่งผลในอนาคตอันใกล้นี้

เรื่องของกฎแห่งกรรมนั้น พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้มากมายในพระไตรปิฎก ถึงที่มาที่ไป เพราะเหตุใดถึงต้องมีชะตาชีวิตแบบนี้ การที่พระพุทธองค์นำมาแสดงไว้เพื่อให้เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายได้ตระหนักถึงผลของกรรมหรือผลของการกระทำ จะได้ระมัดระวังในการดำรงชีวิต ไม่ไปทำผิดแบบนั้นอีก เพราะผลที่ออกมาก็ต้องทำให้ชีวิตต้องทนทุกข์ทรมานกันอีก

เรื่องของกฎแห่งกรรมไม่ได้นำมาแสดงให้กลัวจนยอมจำนนต่อกรรมแต่เพื่อให้เราเปลี่ยนแปลงไปในทางดีขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพและเพื่อเปลี่ยนโชคชะตาชีวิตให้ดีขึ้นด้วยมือตัวเอง

หลักการสำคัญที่เราชาวพุทธทั้งหลายควรตะหนักก็คือ การอยู่ในกาลปัจจุบัน อยู่กับกรรมในปัจจุบันมิใช่ไปยืดติดกับกรรมเก่าในอดีต ไปยอมจำนนต่อกรรมเก่าจนไม่กล้า ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือเปลี่ยนกรรมในปัจจุบันให้ดีขึ้น พร้อมรู้จักระงับกรรมไม่ดีมากมายที่ไม่ควรทำ

อันชีวิตของเรานั้นมาจากกรรมลิขิตทั้งสิ้น ไม่ได้มาจากอำนาจอื่นใด ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้า เทพเจ้าองค์ใด ไม่ได้มาจากดวงดาว ดาวพระเคราะห์หรืออะไรเป็นผู้กำหนด การกระทำหรือกรรมของเราเองนั่นแหละเป็นผู้กำหนดทั้งสิ้น

ใครทำอะไรไว้เมื่อถึงเวลาก็ต้องรับผลที่ทำเอาไว้ตามนั้น ไม่มีอะไรมาเบี่ยงเบนหรือเปลี่ยนผลลัพธ์ไปได้ ทำดีต้องได้ ทำชั่วต้องได้ชั่ว ผลต้องเป็นไปตามนั้นปลูกหรือหว่านอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลตามนั้น ปลุกข้าวก็ต้องได้ข้าว ปลุกกล้วยก็ต้องได้กล้วย ไม่ใช่ปลุกกล้วยแล้วผลออกมาเป็นรวงข้าว มันเป็นไปไม่ได้

ที่เราเรียกว่า “ดวงตก” นั้นอย่างที่บอกว่าเป็นเรื่องของโหราศาสตร์ จริงๆ แล้วน่าจะเรียกว่า “วิบากกรรมไม่ดีเข้า” มากกว่า เพราะเป็นช่วงที่ผลของกรรมไม่ดีที่ทำมากำลังส่งผล อาจจะมีหลายๆ กรรมมาพร้อมๆ กัน อาจจะหนักบ้างเบาบ้าง แต่ก็ทำให้ชีวิตวุ่นวายพอสมควร

เป็นช่วงที่ผลของบุญที่เคยทำมานั้นอาจจะส่งผลน้อยมากหรือกำลังไม่พอกับกรรมไม่ดีที่กำลังส่งผล ทำให้มีแต่ความทุกข์มากกว่าความสุข คนเรานั้นยิ่งทุกข์อยู่แล้ว มีเรื่องทุกข์เข้ามาเพิ่มแม้จะน้อยนิดเบาเท่าขนนุ่นหรือขนนก ถ้าขาดสติ ขาดความเข้าใจที่ถูกต้องและวิธีการแก้ไขอาจทำให้ชีวิตนั้นพังทลายได้เหมือนกัน

นอกจากกรรมเก่าที่เราไม่รู้แล้วยังมีกรรมใหม่ในชาตินี้ที่เราทำ ที่เรารู้ตัวดีอยู่แล้วหรือเจตนาหรือไม่เจตนาแต่ผลมันก็เกิดขึ้นแล้ว เช่น ให้เงินคนกินเหล้า เราอาจจะไม่ตั้งใจหรือทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาต้องเอาเงินไปใช้ในทางที่ไม่ดีแน่แต่ก็ให้ไป คนที่ได้เงินนั้นไปซื้อเหล้ากิน พอเมามายเต็มที่ไปก่อคดีขึ้นมา ก่อกรรมขึ้นมาเพราะเหล้าที่มาจากเงินของเรา ถ้าไม่มีเงินของเราที่ให้ไปเขาก็ไม่มีเงินไปซื้อเหล้ามากินแล้วก่อกรรมขึ้นมา ก็กลายเป็นว่าเรามีส่วนในกรรมนั้นแน่นอน

หรือเป็นคนขับรถพาคนไปทำแท้ง คนแนะนำสถานที่ให้คนไปทำแท้งหรือพูดจาส่งเดช แบบคนเขาทุกข์มาปรึกษาก็พูดส่งๆ ไปว่า เลี้ยงไม่ไหวก็ไปทำแท้งเสียดีกว่า แล้วเขาก็ไปทำแท้งจริงๆ คนที่พูดนี่ก่อกรรมขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวเลยนะ หลายคนชีวิตนั้นต้องทนทุกข์ทรมานทำอะไรก็ไม่ขึ้นเพราะมีส่วนร่วมในกรรมนี้ ในการฆ่าคนตาย ร่วมฆ่าเด็กตายโดยไม่เจตนา

แม้แต่การกระทำหรือกรรมในชาตินี้ ทั้งๆ ที่รู้แต่ก็ยังทำ เช่น เป็นคนขี้เกียจ จับจดทำอะไรก็ไม่เอาจริง คิดแต่คอยคดโกงคนอื่น หรือพูดจาโกหกพกลมไปวันๆ พอมีความจำเป็นไปขอความช่วยเหลือคนอื่น ใครเขาก็จะช่วยเพราะเป็นคนแบบนั้น ทำกรรมขึ้นมาเองหรือเป็นคนที่ทำให้ตัวเองดวงตกด้วยมือ ด้วยการกระทำของตัวเองแท้ๆ ไม่มีใครเขาไปทำให้

หลายเมื่อชีวิตตกต่ำ ทำอะไรก็ไม่สำเร็จจับอะไรเป็นพัง ค้าขายอะไรเป็นเจ๊ง ก่อนที่จะไปโทษคนอื่น ไปโทษเจ้ากรรมนายเวร โทษฟ้าโทษดิน ควรจะโทษตัวเองพิจารณาสิ่งที่ตัวเองทำมาเสียก่อน

สำรวจตนเองว่าทำกรรมดีอะไรมาบ้างในชีวิต ถ้าคิดว่ายังน้อยก็จงรีบทำให้มากเสีย บุญนั้นเป็นที่พึ่งได้จริงทั้งสร้างใจให้เป็นสุข หนุนนำชีวิตให้ดีขึ้นและเป็นเสบียงไปเลี้ยงตัวในภพชาติต่อไป

กรรมไม่ดีหรือกรรมชั่วนั้นต้องลด ละ เลิกเสียอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ อะไรไม่ดีต่อตนเองและต่อผู้อื่นแม้เพียงน้อยนิดก็ถือว่าเป็นกรรมไม่ดี ยิ่งสะสมมากขึ้นเท่าใด เมื่อถึงเวลาส่งผลเราอาจจะรับมือไม่ไหว

ขอให้เชื่อและมั่นใจเถิดว่า การทำกรรมดีหมั่นสร้างบุญกุศลนั้น ช่วยได้จริงสำหรับคนที่ดวงตก ช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตได้จริงทั้งแบบช่วยเหลือเร่งด่วนและแบบถาวร บุญนั้นจะช่วยคลายทุกข์จากหนักให้เป็นเบาหรือเบาให้หายไปได้

กรรมชั่วนั้นเหมือนกับยาพิษ ถ้าเรากินเข้าไปทันทีเราอาจจะตายได้ถ้าเราเอายาพิษนั้นไปใส่ไว้ในตุ่มแล้วเอาน้ำสะอาดใส่เข้าไปให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ยาพิษนั้นก็เจือจางจนแทบไม่มีผลอะไรอีกแล้ว กรรมดีนั้นเหมือนน้ำสะอาดบริสุทธิ์ที่เราเติมเข้าไปในตุ่ม ที่ยิ่งมีมากเท่าใด ยาพาหรือกรรมชั่วนั้นก็แทบไม่มีพิษสงอะไรอีก

กรรมที่ติดตามเรามานั้นเหมือนหมาไล่เนื้อ เมื่อมันวิ่งทันเหยื่อหรือตัวเราเมื่อใดมันจะกัดกินทันที ยิ่งเมื่อเหยื่ออ่อนแรงหรือบุญนั้นน้อยไม่มีกำลังพอ มันก็วิ่งมาทันและมากัดกินได้ง่ายดาย แต่ถ้าเหยื่อนั้นมีกำลังหรือมีบุญมากกว่า มีแรงวิ่งแบบไม่หยุดและเร็ว หมาไล่เนื้อมันก็วิ่งตามไม่ทัน

แต่ถ้าเหยื่อนั้นประมาทหรือหลงทางคือ ทำกรรมชั่วมากขึ้นไปอีกยิ่งไปตัดทอนกำลังที่จะวิ่งหนีหรือถึงขั้นวิ่งมาหมาไล่เนื้อเอง ชีวิตของเหยื่อคงต้องทุกข์ทรมานมากขึ้นและเร็วขึ้นแน่นอนอุปมาทั้ง 2 เรื่องที่ยกมานั้นคือเรื่องของกรรมดีและกรรมชั่วโดยเฉพาะ

ช่วงที่ชีวิตตกต่ำ ถ้าเราทราบจากเหตุดังที่กล่าวมาแล้วว่า เป็นเพราะกรรมไม่ดีที่เราทำนั้นส่งผลก็จึงมีอยู่ 2 ทางที่เร่งด่วนที่จะแก้ไข ก็คือ ลด ละ เลิกอย่าทำกรรมชั่วเพิ่มขึ้นมาอีกที่มาซ้ำเติมชีวิตของตนเอง และเร่งทำกรรมดีพาตัวเองให้รอดจากกรรมชั่วที่กำลังส่งผลนั้นเสีย

เรื่องของกฎแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องซับซ้อนละเอียดมาก หลายคนจึงยากที่จะเข้าใจว่ากรรมใดจะเกิดก่อนหรือเกิดทีหลัง เป็นเพราะความหนักเบา ที่ขึ้นอยู่กับวัตถุ ประโยคหรือความพยายามและเจตนา แต่ดูได้ง่ายๆ จากผลที่เกิดขึ้นนั้นดีหรือร้ายแรงกระทบออกไปเพียงใดทั้งต่อตนเอง ต่อคนอื่นและคนหมู่มากแค่ไหน

คนที่โกงเงินคนอื่นเพียงคนเดียว ย่อมได้ผลแห่งกรรมนั้นน้อยกว่าคนที่คดโกงเงินของชาติบ้านเมือง ที่มาจากหยาดเหงื่อเลือดเนื้อของคน 60 ล้านคน คนที่ก่อคดีเดียวย่อมได้รับโทษน้อยกว่าคนที่ก่อคดีมาเป็นสิบ เจ้าทุกข์หรือเจ้ากรรมนายเวรก็มากกว่า ผลที่ทำมาก็มากกว่าเช่นกัน

คนที่ฆ่าสัตว์แบบครั้งเดียวไม่เจตนาเช่น เดินเหยียบหอยทากตายกับคนที่ฆ่าช้างแบบเฝ้ากันเป็น 10 วัน 10 คืน กว่าจะฆ่ามันได้ต้องใช้ลูกปืนเป็นร้อยนัด สร้างความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัสให้ช้าง ย่อมจะได้รับกรรมที่หนักกว่า

คนที่เพียรพยายามทำงานด้วยความสุจริต ทำกรรมดีมาเป็นเวลา 10-20 ปีหรือชั่วชีวิตย่อมได้รับผลจากที่ทำมาได้รับการนับถือยกย่องมากกว่าคนที่พยายามทำดีเพียงวัน 2 วัน

อันคนเรานั้นเวียนว่าย ตาย เกิดมานับไม่ถ้วนย่อมก่อกรรมทั้งดีและร้ายมามากมายเหลือคณานับ ลองคิดแค่ชาติเดียวที่เกิดมานี้ ลองนั่งทำใจให้นิ่ง นึกย้อนหลังไปก็จะพบว่าเรากระทำอะไรมามากมาย นี่แค่ชาติเดียว และถ้าหลายร้อยชาติ พันชาติ เราสร้างกรรม สร้างเจ้ากรรมนายเวรมามากมาย นึกเปรียบเทียบดูว่าเราไปยืมเงินคนมาสัก 10 คน เมื่อถึงวันหนึ่งเจ้าหนี้ทั้ง 10 คนเขามาทวงหนี้พร้อมๆ กันในวันเดียว แล้วเราจะทำอย่างไร

คนที่มีเงินกักตุนไว้หรือมีบุญกักตุนไว้เยอะก็คงพอจะรอดไปได้ แต่คนที่ไม่มีเงินหรือเงินน้อยหรือบุญน้อยจะทำอย่างไรดี ช่วงเวลาที่เขามาทวงพร้อมกันนั่นแหละที่เขาเรียกกันจนชินปากว่า”ดวงตก” เพราะเป็นช่วงที่แย่สุดสุด เป็นช่วงที่ทั้งกรรมเก่าจากอดีตชาติและกรรมใหม่เขามายืนทวงพร้อมกัน ชีวิตของเราคงแย่แน่นอน

ลองพิจารณาดูถ้าเห็นว่าดีกับชีวิตจึงค่อยทำ แต่ถ้าไม่เชื่อและไม่คิดว่ามันจะดีกับชีวิตก็ขอให้อย่าทำ ขอให้เรื่องนี้ผ่านไปเสีย



ชีวิตล้มเหลวติดขัดทุกข์ใจ ตกอับโชคร้าย หนี้สินรุมเร้าปัญหาชีวิตรุนแรง ทำกินไม่ขึ้น ได้เงินเท่าไหร่ก็มีเหตุต้องเสียไปตลอด เงินชักหน้าไม่ถึงหลัง ทำอะไรไม่ประสบผลสำเร็จ โชคลาภไม่เคยมี ทำอะไรก็ไม่รุ่ง ไม่รวยเสียที มีแต่เจ๊งกับเจ๊า!!! ความรักไม่เป็นรองเขาก็มีมือที่สามสี่ห้า คนรอบข้างไม่รักไม่ซื่อสัตย์ ไม่จริงใจพึ่งพาใครไม่ได้
- - - - - - - - - - - - - -
หากทำมาแล้วทุกอย่างชีวิตไม่เคยดีขึ้น ให้จุดเทียนป๋าระมี๓๐ทัศ เทียนสืบชะตาล้านนา จุดสะเดาะเคราะห์ เสริมดวง หนุนชะตาดู เป็นศาสตร์วิชาศักดิ์สิทธิ์ของชาวล้านนา ที่ครูบาอาจารย์สร้างเอาไว้ช่วยเหลือคนดวงตก วิบากกรรมไล่ล่ารุนแรง ชีวิตตกต่ำทำมาหากินไม่ขึ้น การเงินวิกฤต หนี้สินล้นตัว


เมื่อเจ้าชะตาได้จุดจุดบริกรรมบูชาเทียนป๋าระมี๓๐ทัศ เสริมบุญหนุนดวงชะตาราศี สะเดาะเคราะห์ สืบชะตา ขอขมากรรมไปแล้ว พลังชีวิตจะถูกต่อให้ยืนยาว และดวงชะตาจะยกสูงขึ้น ดีขึ้น เกิดเมตตาสง่าราศี ผ่านพ้นจากเคราะห์หามยามร้าย และอุปสรรคต่างๆ ไปด้วยดี ชีวิตจะกลับมาสว่าง ลืมหู ลืมตาได้อีกครั้ง เป็นการเสริมดวง หนุนชะตาชีวิต ให้หลบหลีกเคราะห์ พ้นโชคร้าย เปิดดวง รับโชคดี รับโชคลาภวาสนา ให้จุดสร้างบุญเสริมบารมีติดต่อกัน 9 วัน จุดวันละ 1 เล่ม ควบคู่ไปกับการสร้างบุญ ทาน ศีล ภาวนา สมาธิ  ก็จะได้รับโชคดี จะมีโชคลาภ ความสำเร็จสมประสงค์ ดังปรากฎให้เห็นมาแล้ว มากมาย

ผู้ใดที่มีโอกาสได้จุดบูชา ล้วนได้พบอัศจรรย์ชีวิต พลานุภาพแห่งเทียนป๋าระมี๓๐ทัศนี้เป็นสิ่งรู้เฉพาะตน รู้ได้ก็เฉพาะผู้ทึได้จุดบูชาเท่านั้น!!!

▬▬▬▬▬▬▬▬▬

💢เทียนป๋าระมี๓๐ทัศ💢
- มหายันต์เทียนแห่งครูบาเจ้าศรีวิชัย -

ยันต์เทียนบารมี๓๐ทัศนี้..เป็นวิชาที่พระนเรศวรมหาราช วีรกษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้เอกราช ทรงศึกษาเล่าเรียนมาจากพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว แล้วอาราทนาก่อนออกทำการ "ยุทธหัตถี" กับมหาอุปราชา จนทำให้ทรงมีชัยชนะ ทรงปกป้องรักษาบ้านเมืองไว้ได้ สมัยโบราณ ตีราคาพระยันต์นี้เท่ากับค่าควรเมืองเลยทีเดียว จึงเรียกยันต์เทียนนี้ว่ายันต์เทียนพิชัยครามแห่งการชนะศึก ศัตรูแพ้พ่าย ด้วยมหาอำนาจ ตบะ เดชะ บารมี
▬▬▬▬▬▬▬▬▬
เทียนบารมี๓๐ทัศจุดบูชาดวงชะตา ลดเคราะห์-สะเดาะวิบากกรรม ขอขมากรรม พลังชีวิตจะถูกต่อให้ยืนยาว อำนาจแห่งบุญและอโหสิกรรมจะยกดวงชะตาให้สูงขึ้น เหนือดวงชะตาเดิม เกิดเมตตามหานิยม อำนาจบารมี มีสง่า มีราศี พาผ่านพ้นจากเคราะห์หามยามร้าย และอุปสรรคต่างๆ ให้พ้นผ่านไปด้วยดี แคล้วคลาดหลีกเคราะห์ ค้ำคูณหนุนดวงชะตาราศี ชีวิตจะกลับมาสว่าง รุ่งเรือง รุ่งโรจน์ อีกครั้ง อานุภาพแห่งยันต์เทียนนี้ จะเสริมอำนาจราชศักดิ์ ตบะ เดชะ บารมี ให้เป็นที่รักใคร่เมตตาต่อมนุษย์และเทวดา ปัดเป่าสรรพเคราะห์ทั้งหลายให้หายไปจากตัวเรา เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม ทรัพย์สินศฤงคารจะมั่งคั่งชีวิตมั่นคง โชคลาภความโชคดีจะไหลหลั่งเข้ามาไม่ขาด จะเหนือคนเหนือใครเหนือดวง ศัตรูแพ้พ่าย บริวารและมิตรไม่คิดคดทรยศ ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์นี้ พิสูจน์มาแต่โบราณแล้วว่า หากใครทำ ชีวิตก็จะดีขึ้นเหนือดวงชะตาได้อย่างอัศจรรย์!!!

( 1คาบมี 9 เล่ม หมั่นจุดจะยกดวงชะตาให้เหนือกว่าดวงชะตาเดิม )
▬▬▬▬▬▬▬▬▬
เทียนป๋าระมี๓๐ทัศ 1 คาบมี 9 เล่ม
จุดติดต่อกันวันละ 1 เล่ม ติดต่อกัน 9 วัน

❅ ไส้เทียนฟั่นจากสายสินญ์ปลุกเสกแช่น้ำส้มป่อยล้างคุณไสยสิ่งอัปมงคลทั้งปวง พันล้อมด้วยยันต์เทียนบารมี๓๐ทัศ มหายันต์ศักดิ์สิทธิ์จารล้อม ชื่อ นามสกุล วันเดือนปีเกิด แห่งดวงชะตาเจ้าของเทียนแบบเฉพาะตัวบุคคล

❅ สีเทียนล้อมมหายันต์ด้วยขี้ผึ้งแท้ผ่านพิธีพุทธาภิเษกฟั่นเทียนปลุกเสกบริกรรมเวทย์คาถาปัดเคราะห์ หนุนดวง เสริมชะตา เล่ม-ต่อ-เล่ม ตามโบราณพิธีครบสูตร -

▬▬▬▬▬▬▬▬
💢 มีเรื่องเล่าว่า...ครั้งหนึ่งครูบาเจ้าศรีวิชัย เดินธุดงค์แถบภาคเหนือ ขณะที่ท่านเดินผ่านทุ่งนาแห่งหนึ่ง ท่านได้สังเกตุเห็นกระท่อมที่ถูกไฟไหม้เกือบทั้งหลัง แต่ก็เหลือชายคาอีกบางส่วนที่ยังไม่ไหม้ไฟ ท่านแปลกใจ จึงเดินไปดู ก็ได้เห็นหนังสือใบลาน เป็นคาถาบารมี ๙ ชั้น อยู่ฉบับหนึ่ง เหน็บอยู่ที่ชายคา เขียนเป็นภาษล้านนา(ตั๋วเมือง) ซึ่งเป็นคำไหว้บารมี ๓๐ ทัศนั่นเอง
▬▬▬▬▬▬▬▬
💢 " เทียนป๋ารามี๓๐ทัศ "ทุกเล่ม ครูบาอาจารย์ตั้งใจกำหนดจิต สร้างให้มีฤทธิ์ มีอิทธิคุณคุ้มครองแคล้วคลาดหลีกเคราะห์อย่างวิเศษ ผู้จุดบูชาก็ต้องมีความมุ่งมั่นตั้งใจ เชื่อมั่น ศรัทธา ไม่ลังเลสงสัย ก็จะนำมาซึ่งปาฎิหาริย์ต่อชีวิตอันประมาณมิได้เลย ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งล้านนานี้ พิสูจน์มาแต่โบราณแล้วว่า หากใครหมั่นจุด ชีวิตก็จะดีขึ้นจะรุ่งโรจน์เหนือดวงชะตาเดิมได้อย่างอัศจรรย์!!!
▬▬▬▬▬▬▬▬
💢เทียนป๋าระมี๓๐ทัศ💢
- มหายันต์เทียนแห่งครูบาเจ้าศรีวิชัย -

เจ้าชะตาบูชาเทียนไปจุดด้วยตนเองที่บ้าน 1 คาบมีเทียน 9 เล่ม จุดติดต่อกัน 9 วันๆละ 1 เล่ม

หรือขอบารมีพระอาจารย์จุดเทียนสืบชะตาตามมนต์พิธีโบราณแห่งล้านนาเสริมให้เจ้าชะตา...

พระอาจารย์จุดเทียนป๋าระมี๓๐ทัศ สืบชะตาสะเดาะเคราะห์ เดือนละ 2ครั้ง

1.ฤกษ์ปุรณมีจันทร์เพ็ญเต็มดวง เสริมดวงเสริมบุญบารมี ประสบความสำเร็จ เจริญรุ่งเรือง ชีวิตมั่งคั่ง มั่นคง (วันขอพร อำนาจ ความสำเร็จ ความสมบูรณ์เป็นเลิศ ความรุ่งเรือง รุ่งโรจน์ ไม่สิ้นสุด )

2. ฤกษ์อมาวสี new moon เริ่มต้นรอบใหม่แห่งจันทรา เปิดรับสิ่งดีงามเข้ามาสู่ชีวิต ดับเคราะห์ดับภัย เปิดดวง รับโชคลาภ มีโชคดี (วันขอเงินขอโชคลาภพระจันทร์)

หมั่นพึ่งบุญบารมีให้พระอาจารย์จุดเทียนสืบชะตา สะเดาะเคราะห์ เสริมบุญหนุนดวง รับโชคดีมีโชคลาภให้เสมอ เสริมกับการหมั่นจุดเทียนเองด้วย ดวงชะตาจะสูงขึ้น ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ชีวิตรุ่งโรจน์ รุ่งเรือง มั่งคั่ง มั่นคง สำเร็จ สมปรารถนา หมดเคราะห์ ลดกำลังวิบากกรรม เปิดดวง รับโชคดี มีโชคลาภวาสนาได้ทันตาทันใจ !!
▬▬▬▬▬▬▬▬


“เมื่อบุญถึง จะทำอะไรก็สำเร็จ ไม่มีอำนาจใดมาขวางทางบุญได้”






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น